Thursday, February 9, 2012

ประวัติวันวาเลนไทน์

วันนี้ขอนอกเรื่องวันคริสต์มาสสักหน่อย เนื่องด้วยตอนนี้ใกล้วันแห่งความรัก บรรยากาศรอบๆเป็นสีชมพู ก็เลยเอาเรื่องของวันวาเลนไทน์ (Valentine's Day) มานำเสนอให้ทุกคนได้รู้กัน ว่าวันนี้มีที่มายังไง
 
วันวาเลนไทน์ (Valentine's Day) นี้ มีมาตั้งแต่สมัยโรมัน ในยุคของจักรพรรดิคลอดิอุส ที่สอง (Claudius II) โดยที่จักรพรรดิพระองค์นี้ มีนิสัยชอบกดขี่ข่มเหงผู้อื่น เขาได้สั่งให้ชาวโรมันทุกคน สักการะนับถือพระเจ้า 12 องค์ โดยผู้ที่ขัดขืนคำสั่งจะถูกทำโทษ รวมทั้งห้ามยุ่งเกี่ยวกับพวกคริสเตียนด้วย แต่นักบุญวาเลนตินุส (Valentinus) มีความเลื่อมใส ศรัทธาต่อพระคริสมาก เขาได้กล่าวไว้ว่า แม้กระทั่งความตายก็ไม่สามารถ เปลี่ยนความคิดของเขาได้ และแน่นอนในเมื่อขัดคำสั่งของจักรพรรดิ ชีวิตของวาเลนตินุสจึงไม่พ้นการตัดสินโทษประหาร

ในช่วงสุดท้ายของชีวิตของวาเลนตินุส ผู้คุมได้ขอให้วาเลนตินุส สอนเรื่องราวต่างๆให้กับลูกสาวของเขา ลูกสาวของผู้คุมชื่อ จูเลีย จูเลียนั้นเป็นคนสวยแต่ว่าเธอตาบอดตั้งแต่แรกเกิด วาเลนตินุสได้เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ต่าง ๆ สอนเลข และเล่าเรื่องพระเจ้าให้เธอฟัง จูเลีย สามารถรับรู้สิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ได้ โดยคำบอกเล่าของ วาเลนตินุส เธอเชื่อใจเขาและเธอมีความสุขมากเมื่ออยู่กับเขา
วันหนึ่งจูเลียถามวาเลนตินุสว่าถ้าเราอธิษฐาน พระผู้เป็นเจ้าจะได้ยินเราไหม วาเลนตินุสตอบ พระองค์เจ้า จะได้ยินเราแน่นอน ท่านได้ยินเราทุกคน จูเลียกล่าว ท่านทราบหรือไม่ว่า ข้าอธิษฐานขออะไรทุก ๆ เช้า ทุก ๆ เย็น....ข้าหวังว่า ข้าจะได้มองเห็นโลก เห็น ทุก ๆ อย่างที่ท่านเล่าให้ข้าฟัง วาเลนตินุสจึงบอก พระเจ้ามอบแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ทุกคน เพียงแค่เรามีความเชื่อมั่นในพระองค์ท่าน เท่านั้นเอง

จูเลีย ผู้ซึ่งมีความเชื่อมั่นในพระผู้เป็นเจ้าจึงได้คุกเข่า กุมมือ อธิษฐานพร้อมกับวาเลนตินุส และในขณะนั้นเอง ก็ได้มีแสงสว่างลอดเข้ามาในคุก และสิ่งมหัศจรรย์ก็ได้เกิดขึ้น จูเลียค่อย ๆ ลืมตา และ .....เธอมองเห็นแล้ว!!!!! เขาและเธอจึงกล่าวขอบคุณต่อพระเจ้า และเรื่องมหัศจรรย์เรื่องนี้ ได้แพร่หลายไปทั่วราชอาณาจักร

ในคืนก่อนที่วาเลนตินุสจะสิ้นชีวิต โดยการถูกตัดศีรษะ เขาได้ส่งจดหมายฉบับสุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า From Your Valentine เข้าสิ้นชีพในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หลังจากนั้น ศพของเขาได้ถูกเก็บไว้ที่โบสถ์พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุมศพของวาเลนตินุส แต่ผู้เป็นที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพูได้เป็นตัวแทนแห่งรักนิรันดร์และมิตรภาพอันสวยงาม ประวัติวันวาเลนไทน์ นี้ เป็นเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาจนถึงปัจจุบัน  

ความรักระหว่างหนุ่มสาวนั้นอาจจะต้องเผชิญกับอุปสรรคต่างๆมากมาย และก็อาจจะเป็นสิ่งที่ทำลายความสัมพันธ์ที่ดีและสวยงามระหว่างหนุ่มสาวก็เป็นได้ ความหมายของการมี วันวาเลนไทน์ นี้ก็คือการช่วยหนุ่มสาวหาวิธีการเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันด้วยใจบริสุทธิ์ ให้ความสัมพันธ์ที่ดียังคงอยู่และพัฒนาให้ดียิ่งๆขึ้นๆไปอีก

ความหมายเห็นได้ชัดในคำว่า “You are my Valentine” ที่มักจะเขียนลงในบัตรส่งใจถึงกันและกัน ประโยคตามความหมายเดิม หมายถึงว่า “ข้าพเจ้าขอเสนอตัวเป็นเพื่อนสนิทของท่านในช่วงเวลา 1 ปี และข้าพเจ้าพร้อมที่จะตกลงแต่งงานกับท่าน ถ้ามิตรภาพของเรานี้เป็นสิ่งที่ยืนยง”

ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาวที่จะช่วยให้ก้าวหน้าในความรักที่แท้จริงนั้น ก็ควรจะประกอบด้วย 3 ข้อด้วยกัน ดังนี้
1. ให้รู้จักกันทั้งในด้านดี ในด้านเสีย และข้อผิดพลาดซึ่งต่างก็มีอยู่ และยอมรับซึ่งกันและกันในข้อเหล่านั้น
2. ให้เคารพและเห็นใจกัน โดยเสียสละต่อกันเพื่อให้คนรักของตนได้รับความดี และความสุขใจในทางที่บริสุทธิ์งดงาม
3. ให้มีการปรับปรุง และเปลี่ยนนิสัยของตนในส่วนที่บกพร่อง เพื่อจะอยู่กันด้วยความสุขในอนาคต

ลักษณะทั้งสามดังกล่าวนี้ คงจะเป็นประโยชน์สำหรับคู่รักทุกคู่ ซี่งจะนำไปสู่ความรักที่มั่นคงและยั่งยืนชั่วชีวิต

แล้วคุณละ วันนี้บอกรักคนที่คุณรักแล้วรึยัง 

credit 
http://variety.teenee.com/
http://variety.siam55.com/

Related Articles:

No comments:

Post a Comment